วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

6 กลุ่มเสี่ยง แพร่เชื้อโรคไม่รู้ตัว





จาก สถานการณ์ตอนนี้จะเห็นได้ว่ามีโรคต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทำให้ต้องรักษาความสะอาดและป้องกันโรคให้ดี เพราะอาจได้รับพาหะของเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว สังเกตง่ายๆ ว่าตัวเองและคนรอบข้างเข้าข่ายพฤติกรรมเสี่ยง 6 กลุ่มนี้หรือไม่

เริ่มที่ "กลุ่มล้างแต่ไม่เช็ด" (Wet Hands Harry) กลุ่ม นี้เรียกว่าเป็นผู้ประสงค์ดี แต่แพร่เชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว เพราะเป็นกลุ่มที่รู้จักล้างมืออย่างถูกสุขลักษณะแต่ไม่ยอมเช็ดมือให้แห้ง จะทำให้กลายเป็นแหล่งเชื้อโรค เพราะความเปียกชื้น

"กลุ่มไม่เปลืองสบู่" (Soapless Sue) กลุ่มนี้จะขี้เกียจ แค่พรมน้ำบนมือแต่ไม่ถูสบู่ เพราะคิดว่าเพียงพอต่อการกำจัดเชื้อโรคไปจากมือแล้ว

"กลุ่มกางเกงสารพัดประโยชน์" (Trousers) กลุ่มนี้เป็นพวกมักง่าย หลังล้างมือแล้วไม่ยอมใช้กระดาษทิชชูเช็ดมือ แต่กลับเอามือเปียกๆ มาเช็ดกางเกงตัวเอง

"กลุ่มบีซี่ไม่มีเวลา" (Flat Chat Pat) กลุ่มนี้มีความมั่นใจเกินร้อย ทำให้เวลาเข้าห้องน้ำเสร็จต้องรีบออกอย่างรีบด่วน ส่งผลให้ล้างมือแบบลวกๆ

"กลุ่มเพื่อนแท้ของเชื้อโรค" (Nev) กลุ่มนี้เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคมากที่สุด เนื่องจากนิสัยที่ไม่เคยล้างมือและเช็ดมือเลยหลังออกจากห้องน้ำ

สุดท้าย "กลุ่มต้องการไออุ่น" (Blower Boy) กลุ่มนี้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ชอบเครื่องเป่าลมเป่ามือให้แห้งซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกสุขอนามัย

นาย คีธ เรดเวย์ นักวิชาการอาวุโสภาควิชาชีววิทยาการแพทย์ มหราวิทยาลัยเวสมินสเตอร์ แนะเคล็ดลับการล้างมือที่ถูกสุขอนามัยว่า ให้ล้างมือด้วยน้ำสะอาด กดสบู่ให้พอดีต่อการล้าง และเริ่มล้างตั้งแต่มือ แขนไปจนถึงข้อศอก ใช้มือแต่ละข้างถูบริเวณหลังมือของอีกข้างหนึ่ง แล้วถูฝ่ามือทั้งสองข้างขัดสิ่งสกปรกบริเวณซอกเล็บ ข้อนิ้วและง่ามนิ้ว ล้างสบู่ออกด้วยน้ำสะอาด และเช็ดมือให้แห้งด้วยการใช้กระดาษเช็ดมือเพื่อสุขอนามัย

เริ่มดูแลตัวเองก่อน ป้องกันการแพร่เชื้อโรคได้ดี จาก สถานการณ์ตอนนี้จะเห็นได้ว่ามีโรคต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทำให้ต้องรักษาความสะอาดและป้องกันโรคให้ดี เพราะอาจได้รับพาหะของเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว สังเกตง่ายๆ ว่าตัวเองและคนรอบข้างเข้าข่ายพฤติกรรมเสี่ยง 6 กลุ่มนี้หรือไม่

เริ่มที่ "กลุ่มล้างแต่ไม่เช็ด" (Wet Hands Harry) กลุ่ม นี้เรียกว่าเป็นผู้ประสงค์ดี แต่แพร่เชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว เพราะเป็นกลุ่มที่รู้จักล้างมืออย่างถูกสุขลักษณะแต่ไม่ยอมเช็ดมือให้แห้ง จะทำให้กลายเป็นแหล่งเชื้อโรค เพราะความเปียกชื้น

"กลุ่มไม่เปลืองสบู่" (Soapless Sue) กลุ่มนี้จะขี้เกียจ แค่พรมน้ำบนมือแต่ไม่ถูสบู่ เพราะคิดว่าเพียงพอต่อการกำจัดเชื้อโรคไปจากมือแล้ว

"กลุ่มกางเกงสารพัดประโยชน์" (Trousers) กลุ่มนี้เป็นพวกมักง่าย หลังล้างมือแล้วไม่ยอมใช้กระดาษทิชชูเช็ดมือ แต่กลับเอามือเปียกๆ มาเช็ดกางเกงตัวเอง

"กลุ่มบีซี่ไม่มีเวลา" (Flat Chat Pat) กลุ่มนี้มีความมั่นใจเกินร้อย ทำให้เวลาเข้าห้องน้ำเสร็จต้องรีบออกอย่างรีบด่วน ส่งผลให้ล้างมือแบบลวกๆ

"กลุ่มเพื่อนแท้ของเชื้อโรค" (Nev) กลุ่มนี้เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคมากที่สุด เนื่องจากนิสัยที่ไม่เคยล้างมือและเช็ดมือเลยหลังออกจากห้องน้ำ

สุดท้าย "กลุ่มต้องการไออุ่น" (Blower Boy) กลุ่มนี้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ชอบเครื่องเป่าลมเป่ามือให้แห้งซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกสุขอนามัย

นาย คีธ เรดเวย์ นักวิชาการอาวุโสภาควิชาชีววิทยาการแพทย์ มหราวิทยาลัยเวสมินสเตอร์ แนะ เคล็ดลับการล้างมือที่ถูกสุขอนามัยว่า ให้ล้างมือด้วยน้ำสะอาด กดสบู่ให้พอดีต่อการล้าง และเริ่มล้างตั้งแต่มือ แขนไปจนถึงข้อศอก ใช้มือแต่ละข้างถูบริเวณหลังมือของอีกข้างหนึ่ง แล้วถูฝ่ามือทั้งสองข้างขัดสิ่งสกปรกบริเวณซอกเล็บ ข้อนิ้วและง่ามนิ้ว ล้างสบู่ออกด้วยน้ำสะอาด และเช็ดมือให้แห้งด้วยการใช้กระดาษเช็ดมือเพื่อสุขอนามัย

เริ่มดูแลตัวเองก่อน ป้องกันการแพร่เชื้อโรคได้ดี

ที่มา jojo7000.com

มองโลกง่ายง่าย สบายดี





Positive Thinking

*ในสิ่งเดียวกันเราสามารถมองได้ 2 แบบ ทั้งทางลบและทางบวก
... เรานำกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง จุดสีดำลงที่กลางกระดาษ ลองถามเพื่อนสิครับว่า เห็นอะไรในกระดาษบ้าง ส่วนใหญ่จะบอกว่าเห็นจุดสีดำ ทั้งที่ “จุดดำ” นั้นเป็นจุดเล็กๆ นิดเดียวบนกระดาษขาว มีน้อยคนที่จะตอบว่า เห็นกระดาษสีขาว ทั้งที่สีขาวมีเนื้อที่มากกว่าจุดสีดำหลายร้อยเท่า

*แก้วน้ำใบหนึ่งมีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว คนหนึ่งเห็นบอกว่ามีน้ำ “แค่” ครึ่งแก้ว อีกคนบอกว่ามีน้ำ “ตั้ง” ครึ่งแก้ว

*บริษัท รองเท้าในอิตาลี 2 แห่งส่งเซลล์แมนไปเกาะแห่งหนึ่ง คนบนเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย เซลล์แมนคนแรกบอกเจ้านายว่า “นายครับ ไม่ต้องมาอีกแล้วครับ คนในเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย” เซลล์แมนคนที่สองบอกเจ้านายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “นายครับ โอกาสขายมีมากเลยครับ เพราะคนในเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย”
... คนหนึ่งเห็น “ปัญหา” คนหนึ่งเห็น “โอกาส”

*โคโนสุเกะ มัตสึชิตะ แห่งพานาโซนิคเคยกล่าวไว้ว่า “การเล็งเห็นแต่สิ่งไม่ดี และคิดในเชิงลบ ไม่อาจแก้ปัญหาต่างๆ ได้”
... ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมไร้ข้อบกพร่อง แต่ละคนมีทั้งข้อดี และข้อเสีย แต่ละคนมีทั้งความแข็งแกร่ง และอ่อนแอ
คำถามที่สำคัญก็คือ ทำไมถึงไม่ใช้ “จุดแข็ง” ของเขาให้เป็นประโยชน์ ทำไมมุ่งตำหนิติเตียนต่อ “ความผิดพลาด” ต่างๆ ของเขาเป็นด้านหลัก
หลาย ปีที่ล่วงมา ผมพบเห็นนักธุรกิจผู้มีความสามารถพิเศษหลายคนล้มเหลวในการเป็นผู้จัดการ เพราะเขากระทำต่อพนักงานราวกับเป็นความบกพร่องมากกว่าเป็นทรัพยากรอันมีค่า ขององค์กร

ไอน์สไตน์
*วาทะของ “ไอน์สไตน์” ในเรื่องต่างๆ หลายแง่มุม มีหลายประโยคที่อ่านแล้วยิ้ม
อย่างเช่น “ข้าพเจ้าไม่เคยกังวลเกี่ยวกับอนาคตเลย เพราะมันมาถึงเร็วพออยู่แล้ว”

*ทฤษฎี สัมพันธภาพนั้นถือเป็นการปฏิวัติวงการฟิสิกส์โลก เป็นทฤษฎีที่โด่งดัง แต่ยากจะเข้าใจ แต่ “ไอน์สไตน์” กลับอธิบายทฤษฎีที่ยากแสนยากด้วยประโยคสั้นๆ ให้เลขานุการของเขาฟัง
“หนึ่งชั่วโมงที่นั่งกับสาวสวยบนม้านั่งในสวนผ่านไปเหมือน 1 นาที แต่ 1 นาทีที่นั่งบนเตาร้อนๆ ดูเหมือน 1 ชั่วโมง”

*“ไอน์สไตน์” นั้นเป็นคนถ่อมตัว เวลาคนฉลาดถ่อมตัวนั้นดูน่ารัก
วัน หนึ่งมีคนจะไปปรึกษา “ไอน์สไตน์” เกี่ยวกับทฤษฎีบางอย่างที่เขาติดขัดอยู่ ใครไปคุยกับนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกถ้าไม่สั่นก็เกินไปแล้ว นักวิทยาศาสตร์หน้าใหม่ก็เหมือนกัน เขาอธิบายแนวคิดและเขียนสมการบนกระดาษด้วยอาการตื่นเต้น แต่พอเขาขยับมือ “ไอน์สไตน์” ก็บอกว่า “เขียนช้าๆ หน่อยนะ ฉันเป็นคนเข้าใจอะไรไม่เร็วนัก”

*“ไอ น์สไตน์” ยังเป็นคนเชื่อมั่นในพลังแห่งจินตนาการ เขาบอกว่า “จินตนาการสำคัญยิ่งกว่าความรู้ เพราะความรู้นั้นจำกัด แต่จินตนาการนั้นอยู่ล้อมรอบโลก”

*ประโยคเสียดสีของนักวิทยาศาสตร์ของโลก... “ข้าพเจ้ารอดตายมาจากสงคราม 2 ครั้ง ภรรยา 2 คน และฮิตเลอร์”
ไม่แน่ใจว่า “ไอน์สไตน์” หมายความว่า ภรรยา 2 คนของเขานั้นน่ากลัวเทียบเคียงกับสงครามและฮิตเลอร์
หรือว่าสิ่งที่น่ากลัวในชีวิตของเขาคือฮิตเลอร์ สงคราม 2 ครั้ง และการมีภรรยาพร้อมกัน 2 คน !!!

ความล้มเหลว

*“บิล เกตต์” ชอบจ้างผู้ประกอบการที่เคยล้มเหลวมาก่อนมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของ “ไมโครซอฟท์”
เหตุผล ง่ายๆ ก็คือ มีแต่ผู้ที่เคยล้มเหลวเท่านั้นที่รู้ดีว่าเส้นทางของความล้มเหลวมีรูปร่าง หน้าตาอย่างไร และความล้มเหลวนั้นเจ็บปวดเพียงใด
ด้วยประสบการณ์ดังกล่าว จะทำให้เขาไม่นำพาองค์กรไปเส้นทางนี้อีก

*... คนที่รบชนะติดต่อกัน 100 ครั้ง การรบครั้งที่ 101 จะอันตรายที่สุด...

*“โธมัส อัลวา เอดิสัน” นักวิทยาศาสตร์ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟคนแรก ... ครั้งหนึ่งผู้ช่วยของเขา บ่นกับเขาว่า “เราทำการทดลองเรื่องนี้มา 700 ครั้งแล้ว เรายังไม่พบอะไรเลย”
“เอ ดิสัน” หัวเราะ แล้วบอกว่า “เราไม่ได้ล้มเหลว แต่เราได้เรียนรู้อะไรต่างๆ เพิ่มมากขึ้น... อย่างน้อยที่สุดตอนนี้เราเรียนรู้แล้วว่ามี 700 วิธีที่ไม่ควรทำ”

*บางครั้งความล้มเหลว ก็กลายเป็นความสำเร็จได้… “โคลัมบัส” ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นคนล้มเหลวที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก
เพราะเป้าหมายแท้จริง “โคลัมบัส” ตั้งใจจะไปอินเดีย !!!

แม้ “ทุกข์” ยัง “สุข”

*คนเราส่วนใหญ่ที่มี “ความทุกข์” เพราะเราชอบเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่า
ทำไมรวยไม่เท่าคนนี้
ทำไมสวยสู้คนนี้ไม่ได้
ทำไมเพื่อนคนนี้ได้งานดีกว่าเรา ฯลฯ
เพราะเลือกที่จะเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่า ความรู้สึกต่ำต้อยจึงเกาะกุมใจ
แต่ ถ้าทุกครั้งในชีวิตเมื่อมี “ความทุกข์” มาประจันหน้า เรามองมันอย่างเข้าใจ และเทียบกับคนที่ทุกข์กว่า เราจะรู้สึกว่าความทุกข์ของเราเล็กน้อยเหลือเกิน
หากวันนี้ใครมี “ความทุกข์” ผมแนะนำให้อ่านหนังสือ “เอดส์ไดอารี่” เป็นเรื่องราวของเด็กสาวที่เป็นเอดส์ในช่วงวัยที่กำลังสดใส เธอเผชิญหน้ากับ “ความตาย” ที่รออยู่เบื้องหน้าด้วยความเข้าใจ สร้างมุมมองใหม่ให้กับชีวิต เป็นมุมมองที่ไม่ทุกข์

เขาใหญ่ - เราเล็ก

*ความยิ่งใหญ่ของ “ป่า” ทำให้มนุษย์ตระหนักว่าเราเป็นเพียงผู้อาศัย มิใช่ “เจ้าของ” โลกใบนี้ ...
โลกในป่าหมุนช้ากว่าโลกในเมือง ความช้าทำให้เราพิถีพิถันกับทุกสิ่งมากขึ้น
โลกแห่งป่าทำให้เรามีเวลามองและสังเกต คิดและสรุป ป่าตะโกนสอนธรรมะเราอยู่ตลอดเวลา

*ใน “ป่า” ก็มีอารมณ์ขัน... ทุกวันที่วนเวียนอยู่ในเขาใหญ่ เราจะเจอกับเจ้าลิงน้อยเป็นประจำ คงเป็นเพราะมีคนมาให้อาหารมันเป็นประจำ ทำให้ “เจี๊ยกน้อย” เรียนรู้การนั่งรอรับผลไม้จากคน เสียสัญชาตญาณสัตว์ป่าหมดเลย
บางตัวเรียบร้อยหน่อยก็นั่งเฉยๆ แต่บางตัวก็ทะลึ่งหันก้นให้
“หนูรู้แล้วว่าทำไมลิงชอบกินผลไม้” เด็กน้อยที่ร่วมขบวนทะลุกลางป้องขึ้นมา
“ทำไมล่ะ” ผมถาม
“เพราะลิงท้องผูก” เป็นคำเฉลยที่ทะแม่งพิกล
“รู้ได้ไงว่าลิงท้องผูก” ผมยังสงสัย
“ดูสิคะ ก้นแดงทุกตัวเลย มันคงอึไม่ออก พ่อแม่เลยสอนให้กินผลไม้เยอะๆ”

คมคิด “คนดัง”

*แจ๊ก เวลซ์ : “จงเปลี่ยนแปลง ก่อนถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลง”

*เทียม โชควัฒนา : “ใครทำดีกับเราให้จำ แต่ทำดีกับใครให้ลืม”

*บิล เกตส์ : “จงอย่าเปลี่ยนใจกลับไปกลับมา แต่จงใช้เวลาและคิดให้ดีเพื่อตัดสินใจให้เด็ดขาด โดยไม่ต้องย้อนคิดถึงเรื่องเดิมหากไม่จำเป็น”

*แจ๊ก เวลซ์ : “การลงโทษในความล้มเหลว จะทำให้ไม่มีใครกล้าทำสิ่งใด”

*อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยบอกว่าปรัชญาของทีมแมนยูฯ นั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง
“จงยิงประตูมากกว่าคู่แข่ง 1 ประตู”

วัฒนธรรม

*ฝรั่ง คนหนึ่งไปทานข้าวกับเพื่อนชาวจีน เขาเห็นเพื่อนคนจีนกินไก่แล้วคายกระดูกออกมาไว้ข้างจาน ในขณะที่ตัวเองเขี่ยกระดูกไก่ไว้ในจานตัวเอง
แม้จะรู้สึกสกปรก แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากกับเพื่อน ทุกครั้งที่กินข้าวด้วยกัน ฝรั่งคนนี้จะเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจ
จนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนชาวจีนกลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน
“ขอโทษนะเพื่อน ถ้าสิ่งที่เราถามทำให้เพื่อนไม่พอใจ” เขาทำท่าเกรงใจ
“ถามจริงๆ เถอะ เวลาทานอาหารแล้วเอาเศษอาหารหรือกระดูกไว้ในจาน เพื่อนไม่รู้สึกว่าสกปรกบ้างหรือ”
ฝรั่ง ฟังแล้วยิ้ม นึกขำในใจ ขณะที่เขารู้สึกว่าการคายกระดูกไว้ข้างจานสกปรก เพื่อนชาวจีนก็รู้สึกเหมือนกันว่า การทิ้งกระดูกไว้ในจานสกปรก

ความสุข “วันนี้”

*หนังสือของพระไพศาล วิสาโล มีตอนหนึ่งท่านเล่าเรื่อง “นักธุรกิจพันล้าน” คุยกับ “ชาวประมง”
นักธุรกิจเจอชาวประมงคนหนึ่ง นอนเอกเขนกอยู่ข้างเรือจึงพูดขึ้น
“ทำไมลุงไม่ออกไปจับปลาล่ะ”
“ผมจับได้มากพอแล้ว” ชาวประมงตอบ
“แล้วทำไมไม่ไปจับให้มากขึ้นล่ะ”
“จับมากๆ ทำไมกัน” เขาสงสัย
“จับมากๆ จะได้มีเงินไปซื้อเครื่องยนต์ติดเรือไปจับปลาในทะเลลึกๆ ได้”
“เพื่ออะไร”
“เพื่อลุงจะได้มีเงินมากขึ้น และซื้อเรือเพิ่มขึ้นจนเป็นกองเรือประมงเลย”
“มีทำไมกองเรือประมง” ลุงถามต่อแบบงงๆ
“อ้าว ลุงจะได้เป็นเศรษฐี นั่งเล่นนอนเล่น ไม่ต้องทำอะไรน่ะสิ” นักธุรกิจอธิบาย
ชาวประมงฟังแล้วก็หัวเราะ “นั่งเล่นนอนเล่น... “ เขาทวนคำ
มองโลกง่ายง่าย สบายดี

*ผม ไม่แปลกใจที่โลกใบนี้จะมีมหาเศรษฐีจำนวนมากหน้าตาขยุกขยุย ไม่รู้จักรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่อีกมุมหนึ่ง คนเก็บขยะหัวเราะเสียงดัง
คนส่วนใหญ่ที่ทุกข์ระทมเพราะแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ มักเชื่อว่าเพราะปัญหามันยิ่งใหญ่เกินแก้ไข
โดยลืมไปว่าต้นเหตุแท้จริงคือเราตั้งโจทย์อย่างไรให้กับตัวเราเอง
โจทย์ที่เรารู้สึกว่ามันแก้ไม่ได้
บางทีปัญหาไม่ได้อยู่ที่เราแก้โจทย์ไม่ถูกต้อง
แต่เป็นเพราะเราตั้งโจทย์ให้กับชีวิตตนเองยากเกินไป
ลองหัดตั้งโจทย์ง่ายๆ ให้กับชีวิตบ้าง บางที “ความสุข” อาจไม่ไกลเกินไขว่คว้า
โจทย์ยากก็เหมือน “กางเกงยีนส์” โจทย์ง่ายก็เหมือน “กางเกงวอร์ม”
“กางเกงวอร์ม” ถอดง่ายกว่า “กางเกงยีนส์”

ที่มา jojo7000.com

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พฤติกรรมทำร้ายดวงตา





5 พฤติกรรมทำร้ายดวงตา
กิจวัตร หลายอย่างในชีวิตการทำงานของเวิร์กกิ้งมัมอย่างเรา ทำร้ายสุขภาพดวงตาอย่างไม่รู้ตัว หรืออาจจะรู้อยู่แก่ใจ แต่ไม่สน ดวงตาเลยต้องรับศึกหนัก จนวันหนึ่งมีปัญหาเกิดขึ้นนั่นแหละ ถึงหันกลับมาพิจารณาสิ่งที่ทำ แล้วค่อยๆ ปรับพฤติกรรม หยุดทำร้ายดวงตาของเรากันเถอะค่ะ

พฤติกรรม 1 No แว่นกันแดด
สังเกตว่า ยุคนี้ผู้หญิงเราขับรถเองแทบทั้งนั้น แต่สิ่งที่หญิงสาวเช่นเราห่วงกันมากคือผิวสวยๆ จะถูกแสงแดดทำลาย ตอนไปทำงานก็มัวแต่แต่งหน้าในรถ จนลืมปกป้องดวงตา ทราบไหมว่าแสงที่ตกกระทบบนพื้นผิวอย่างน้ำ กระจก หรือโลหะ ที่พบได้ตลอดเส้นทาง เป็นอันตรายต่อสายตาได้ แต่ถึงอย่างนั้น สาวๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมสวมแว่นกันแดดขณะขับรถ หรือใช้แว่นกันแดดแบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งยิ่งส่งผลเสียต่อดวงตาเข้าไปใหญ่

Advice
แว่น ตากันแดดเก๋ๆ ควรมีติดรถไว้ ขับรถเมื่อไหร่ หยิบขึ้นมาใส่ทันที ไม่ขับรถก็ใส่ได้เหมือนกันค่ะ เพียงแต่แว่นกันแดดที่ว่าก็ควรเป็นแว่นที่สามารถกรองรังสียูวีได้จริง เช็กจากฉลากที่ด้านข้างของแว่น เพื่อให้แน่ใจว่า เป็นแว่นที่กรองแสง UVA และ UVB ได้ 100% โดยเลนส์สีชาและสีเทาเหมาะกับการใช้งานทั่วไปมากที่สุด

พฤติกรรม 2 ติดจอ
การที่ต้องนั่งจับจ้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นกิจวัตร ก็เป็นอีกตัวการหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เรื่องนี้มีการพูดถึงกันบ่อย จะว่าไปอาจจะหลีกเลี่ยงกันยากสักนิด เพราะคอมพิวเตอร์ถือเป็นอุปกรณ์จำเป็นของเกือบทุกองค์กร เจ้าอุปกรณ์ที่ว่าจึงมีอิทธิพลต่อชีวิตเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ และด้วยรูปแบบการทำงานลักษณะ “ติดจอ” ที่มักจะอยู่หน้าจอกันเป็นหลัก ทำให้สาวๆ เกิดอาการตาล้า ตาแห้ง ตาแดง และระคายเคือง ยิ่งอยู่ในห้องปรับอากาศด้วยแล้ว ตายิ่งแห้งไปกันใหญ่ อาจเกิดอาการปวดตา ปวดหัว เป็นหนักเข้าก็อาจทำให้เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมก็ได้

Advice
- วางคอมพิวเตอร์ในตำแหน่งที่เหมาะสม หน้าจอควรอยู่ห่างจากตัวเราประมาณ 50-70 ซม. โดยให้ระดับจออยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว
- พยายามเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ลุกขึ้นยืดเหยียดกล้ามเนื้อ อย่ามัวแต่ทำตัวติดจอ ไม่ว่าจะเป็นทีวีหรือคอมพิวเตอร์ก็ตาม เป็นการพักสายตาที่ได้ผลอีกวิธี
- หากตาเริ่มแห้ง เนื่องจากเพ่งมองคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ให้กะพริบตาถี่ๆ อาจใช้น้ำตาเทียมหยอดเพิ่มความชุ่มชื้น และควรดื่มน้ำมากๆ ก็ลดอาการตาแห้งได้ดีอีกวิธีหนึ่ง

พฤติกรรม 3 คอนแทคเลนส์ใช้ผิด
เดี๋ยวนี้สาวสายตาสั้นมีตัวช่วยให้ดูดีขึ้นหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ คอนแทคเลนส์ หลายคนโยนแว่นตาทิ้งไป หันมาใส่แบบนี้เพื่อเสริมบุคลิก หากใช้อย่างถูกวิธีก็คงไม่มีปัญหา แต่ส่วนใหญ่ที่พบก็คือ มักใส่จนเกินวันหมดอายุตามที่ระบุอยู่บนผลิตภัณฑ์ และทั้งที่อยู่ใกล้ตามากๆ แต่ก็ยังไม่รักษาความสะอาดให้ดี กลับถึงบ้านแล้วไม่ถอดเลนส์ออก เข้านอนทั้งอย่างนั้นก็เยอะค่ะ เลยกลายเป็นขาประจำของโรคตาติดเชื้อไป บางคนเป็นเรื้อรังหนักเข้าอาจถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว

Advice
- ใช้และรักษาความสะอาดคอนแทคเลนส์ตามคำแนะนำข้างกล่องอย่างเคร่งครัด
- ซื้อคอนแทคแลนส์จากแหล่งที่เชื่อถือได้ และเลือกที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐาน คุณภาพแล้ว

พฤติกรรม 4 ลองเครื่องสำอางตามเคาน์เตอร์
ได้ยินคำเตือนกันอยู่บ่อยๆ ถึงการลองสินค้าตัวอย่างตามเคาท์เตอร์เครื่องสำอาง โดยเฉพาะสินค้าจำพวกอายแชโดว์ ที่อาจทำให้ตาของคุณติดเชื้อจากคนที่ลองสินค้านี้ก่อนหน้า สิ่งที่ตามมาก็อาจเป็นการอักเสบจากการติดเชื้อนั่นแหละ คุ้มแล้วเหรอกับการประหยัดด้วยวิธีนี้

Advice
- ไม่ลองเครื่องสำอางโดยตรงกับดวงตา แต่ลองสีกับบริเวณท้องแขนแทน
- ควรใช้อุปกรณ์อย่างพู่กัน คัตตอนบัด ในการแต่งหน้า เพื่อลดการติดเชื้อ และป้องกันการปนเปื้อนจนเครื่องสำอางเสียก่อนเวลาอันควร
- เครื่องสำอางเป็นของใช้ส่วนตัวที่ต้องสัมผัสกับผิวของเราโดยตรง ไม่ควรใช้ปะปนกับผู้อื่นโดยไม่จำเป็น

พฤติกรรม 5 ใช้สายตามาราธอน
ดูทีวี หรืออ่านหนังสือแบบไม่มีลิมิต แทบไม่ได้พักสายตาเลย แบบนี้มีผลเสียแน่นอน เพราะอวัยวะสำคัญต้องทำงานหนักอยู่ตลอด ยิ่งหากมีการเพ่งจ้องเป็นเวลานานด้วยแล้ว คุณอาจเกิดอาการปวดตาเอาง่ายๆ

Advice
- ปรับแสงสว่างของห้องให้เหมาะสม ไม่ให้มีแสงสว่างน้อยจนต้องเพ่ง หรือมากจนรบกวนการการทำงานของดวงตา อาจใช้ผ้าม่านแบบบางเพื่อกรองแสงบางส่วนไว้ ไม่ให้เข้าตาโดยตรง
- พักสายตาทุกๆ ชั่วโมง เมื่อดวงตาอ่อนล้า อาจจะหลับตา หรือมองไปไกลๆ เพื่อให้สายตาได้พักผ่อน หาต้นไม่สีเขียวต้นเล็กๆ มาวางไว้ที่โต๊ะทำงาน สีเขียวช่วยให้ดวงตาได้ผ่อนคลาย

ดูแลใส่ใจ ก่อนดวงตาคู่สวยจะถูกทำร้ายมากไปกว่านี้ดีกว่าค่ะ

วิธีถนอมดวงตาแบบง่ายๆ
- หลีกเลี่ยงการใช้มือสกปรกขยี้หรือเช็ดตา
- บริหารดวงตาด้วยการกรอกลูกตาวนตามเข็มนาฬิกาเป็นวงกลม แล้วกรอกทวนเข็มนาฬิกา ทำซ้ำ 3-4 ครั้ง วิธีนี้ใช้ได้ทุกครั้งเมื่อตาเกิดอาการเมื่อยล้า
- กินผักและผลไม้สดที่มีส่วนประกอบของวิตามินเอ มีสารต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนประกอบของลูทีน จำพวกผักใบเขียว แครอท ผักโขม ฟักทอง ควบคู่ไปกับอาหารที่มีส่วนประกอบของโอเมกา 3 เพื่อบำรุงสายตา และทำให้การทำงานของตามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ที่มา jojo7000.com

ซอสปรุงรส





เอาล่ะครับ! ก็ดูฉลากกันเสียเลย เลขทะเบียนของผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสส่วนใหญ่มีอักษรย่อ “ฉผซ” พระราชบัญญัติอาหาร พุทธศักราช 2522 ไม่ได้กำหนดผลิตภัณฑ์นี้เป็นอาหารควบคุมเฉพาะ แต่เป็นอาหารประเภทที่ต้องแสดงมีฉลาก จึงมีอักษร “ฉผ” นำหน้า ส่วนอักษร “ซ” หมายถึง ซอสซึ่งจัดอยู่ในประเภทซอสที่ทำจากถั่วชนิดต่างๆ นอกจากนี้ยังพบว่า บางยี่ห้อมีอักษร “ฉสซ” ซึ่งแสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งเข้ามาจากต่างประเทศ

กรรมวิธีการผลิตซอสปรุงรส

คำว่า “ซอสปรุงรส” นี้น่าจะเป็นคำที่บัญญัติขึ้นมาเพื่อใช้แทนคำว่า “ซีอิ๊วเคมี” ซอสปรุงรสเริ่มเข้ามามีบทบาทบนโต๊ะอาหารของคนไทยครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อน ในชื่อการค้าว่า “แม็กกี้” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากยุโรป วัตถุประสงค์ของการผลิตซอสปรุงรส คือ เพื่อลดระยะเวลาในการผลิตซีอิ๊ว ซึ่งโดยทั่วไปต้องใช้เวลาในการหมักนานกว่าซีอิ๊วเคมีมาก วิธีการผลิตเริ่มต้นจากการย่อยโปรตีน ซึ่งโดยทั่วไป ก็คือ กากถั่วเหลืองหรือถั่วเหลืองที่สกัดน้ำมันออกมาแล้ว หรืออาจเป็นโปรตีนจากเมล็ดพืชอื่น หรือโปรตีนจากสัตว์ เช่น เคซีน (casein) หรือโปรตีนนม โปรตีนจะถูกย่อยในกรดเข้มข้นซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า acid hydrolysis

หลังจากนั้นจึงปรับให้หมดสภาพกรดด้วยการ เติมด่าง ซึ่งปกตินิยมใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) เมื่อด่างทำปฏิกิริยากับกรดที่ใช้ย่อย จะทำให้เกิดเกลือ (NaCl) ขึ้นได้ สารอาหารหลักๆ ที่ถูกย่อยโดยกรด คือ แป้งและโปรตีน แป้งที่ถูกย่อยก็กลายเป็นน้ำตาล ส่วนโปรตีนก็จะถูกย่อยกลายเป็นกรดอะมิโน กรดอะมิโนชนิดที่เป็นยอดปรารถนาของการผลิตสินค้าชนิดนี้และรวมถึงการหมัก ซีอิ๊วแบบดั้งเดิมก็คือ กรดกลูตามิก ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะยังสงสัยอยู่ แต่เชื่อว่าหลายคนต้องรู้จักเกลือของกรดกลูตามิกที่ชื่อ โมโนโซเดียมกลูตาเมตหรือเอ็มเอสจี ก็คือ ผงชูรส นั่นเอง ซึ่งในกระบวนการผลิตซอสปรุงรสจะมีผงชูรสเกิดขึ้นในปริมาณหนึ่งด้วย กรดอะมิโนบางชนิดที่เกิดจากการย่อยนี้เมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำตาล จะทำให้ผลิตภัณฑ์เกิดสีน้ำตาลเข้ม

ในการผลิตซีอิ๊วเคมีได้พบว่า มีรสชาติแตกต่างจากซีอิ๊วหมักดั้งเดิม จึงได้พยายามที่จะปรับสีและรสชาติให้ใกล้เคียงกับของดั้งเดิม แต่ก็ยังไม่ใคร่สำเร็จนัก กลิ่นรสหลายอย่างที่พบในซีอิ๊วหมักสูตรดั้งเดิมเกิดขึ้นจากการทำงานของ จุลินทรีย์และการเปลี่ยนแปลงทางเคมีอย่างช้าๆ ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นได้ในปฏิกิริยาเคมีที่รวดเร็วและรุนแรงเหมือนการผลิต ซีอิ๊วเคมี อย่างไรก็ตามผู้เขียนรู้สึกว่าผู้บริโภคในปัจจุบันนี้ยอมรับในความแตกต่าง เหล่านี้ได้ และตัดสินว่าซอสปรุงรสเป็นผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่งที่แตกต่างจากซีอิ๊วหมัก ธรรมดา และยังให้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเหมาะในการปรุงอาหารบางประเภทด้วย

ส่วนประกอบในซอสปรุงรส

หลังจากได้เข้าใจวิธีการผลิตพอสังเขปแล้ว เราก็เข้ามาถึงส่วนที่น่าสนใจที่สุด ก็คือ การอ่านส่วนประกอบบนฉลาก ซึ่งผมก็ได้เห็นความหลากหลายพอสมควร จึงต้องแบ่งเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจง่ายขึ้น ดังนี้
1. โปรตีน หมายถึงโปรตีนที่ใช้เป็นแหล่งของกรดอะมิโน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการให้สี กลิ่น รส ของผลิตภัณฑ์ และมักระบุบนฉลากว่า โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง ซอสถั่วเหลือง ถั่วเหลืองบีบน้ำมัน หรือถั่วเหลือง ทุกแบบมีความหมายเดียวกัน คือ ใช้ถั่วเหลืองซึ่งผ่านการสกัดไขมันออกแล้ว (กระบวนการผลิตซีอิ๊วเคมีไม่ใช้วัตถุดิบที่มีไขมันปนอยู่มาก เพราะจะทำให้มีกลิ่นเหม็นของไขมันที่ถูกย่อย) มาผลิตเป็นซีอิ๊วเคมี แล้วจึงนำมาปรุงรสชาติ

นอกจากนี้ยังพบว่า มีการใช้โปรตีนจากแหล่งอื่นด้วยเช่น ถั่วลิสง ข้าวโพด เคซีน (โปรตีนนม) อย่างไรก็ตาม บางยี่ห้อก็เพียงระบุว่าโปรตีน ปริมาณของแหล่งโปรตีนที่ใช้ในช่วงที่ผลิตซีอิ๊วเคมีก็ดี หรืออัตราส่วนของซีอิ๊วเคมีที่นำมาผสมกับส่วนผสมอื่นเพื่อผลิตเป็นซอสปรุงรส ก็ดี ย่อมมีผลโดยตรงต่อเปอร์เซ็นต์โปรตีนในผลิตภัณฑ์ ดังจะเห็นว่าในซอสปรุงรสหลายยี่ห้อได้กำหนดเกรดและราคาตามระดับโปรตีน เช่น ร้อยละ 10 ร้อยละ 15 และร้อยละ 20

2. น้ำตาล ซอสปรุงรสที่จำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่เติมน้ำตาลในปริมาณที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ร้อยละ 1.2–10 น้ำตาลที่เติมลงไปเพื่อช่วยในเรื่องรสชาติ และอาจจะมีผลทำให้สีของผลิตภัณฑ์ดีขึ้นด้วย

3. เกลือ โดยทั่วไปซอสปรุงรสทุกยี่ห้อน่าจะมีปริมาณเกลืออยู่ร้อยละ 18–21 อย่างไรก็ตาม มีเพียง 3-4 ยี่ห้อเท่านั้นที่ระบุว่า มีการเติมเกลือ โดยที่ยี่ห้ออื่นเพียงแต่ระบุว่า มีส่วนผสมของซอสถั่วเหลืองหรือโปรตีนสกัด ทั้งที่ในกระบวนการผลิตส่วนผสมเหล่านี้ได้มีเกลือเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นในกรณีนี้ผู้บริโภคจะต้องเข้าใจได้เองว่าในซอสเหล่านั้นมีส่วนผสมของ เกลืออยู่ในปริมาณสูงทั้งสิ้น

ผมได้พบว่า มียี่ห้อหนึ่งระบุเป็นภาษาไทยว่าโปรตีนสกัดจากถั่วเหลืองและน้ำ ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคที่ไม่ทราบกระบวนการผลิตเข้าใจผิดว่าไม่มีเกลือผสม อยู่ เพราะคำว่า “โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง” อาจทำให้ผู้บริโภคคิดว่าเป็นคนละชนิดกับซีอิ๊วเคมีหรือซอสปรุงรส ทั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ฉลากส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษระบุว่า hydrolyzed vegetable protein and salt (ผมอยากแปลเป็นภาษาไทยว่า โปรตีนพืชย่อยสกัดและเกลือ) ซึ่งมีความหมายที่กระจ่างชัดและถูกต้องกว่าภาษาไทย

ในสถานการณ์ที่ผู้บริโภคหลายกลุ่มต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการบริโภคเกลือ เพื่อรักษาสุขภาพนี้ จึงอยากจะขอให้ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาควบคุมฉลากอาหารประเภทนี้ให้ รัดกุมและสื่อความหมายที่ถูกต้องกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้

4. วัตถุปรุงแต่งรสอาหาร ซอสปรุงรสบางยี่ห้อระบุว่าไม่มีการเติมผงชูรสและไม่มีวัตถุกันเสีย ในขณะที่บางยี่ห้อระบุว่า ใช้ผงชูรสพร้อมระบุปริมาณ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ผงชูรสเกิดขึ้นได้เองในระหว่างกระบวนการผลิต แต่ผู้ผลิตบางรายก็อาจมีการเพิ่มเติมลงไปอีก จึงต้องมีการระบุ ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาแพ้ผงชูรสในปริมาณต่ำก็อาจจะต้องระมัดระวังในการบริโภค ซอสปรุงรส ส่วนวัตถุกันเสียนั้นไม่จำเป็นต้องเติมในผลิตภัณฑ์นี้ เนื่องจากมีปริมาณเกลือที่สูงมากพอที่จะถนอมไว้ได้

ซอสปรุงรสเกือบทุกยี่ห้อมีการเติมไดโซเดียม-5’ –อิโนไซเนต (Disodium-5’ -Inosinate) และไดโซเดียม-5’ –กัวลิเนต (Disodium-5’ -Guanylate) ซึ่งเป็นวัตถุปรุงแต่งรสอาหารชนิดใหม่ที่นิยมกันมากขึ้น มักจะเรียกสั้นๆ ในวงการอุตสาหกรรมอาหารว่า ไอพลัสจี (I plus G) ซึ่งนอกจากช่วยในการปรุงแต่งรสอาหารแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปรุงแต่งรสอาหารของผงชูรสอีกด้วย

วิธีเลือกซื้อซอสปรุงรส
สนนราคา ของซอสปรุงรสแต่ละยี่ห้อไม่แตกต่างกันมาก อย่างไรก็ตามราคาของซอสยี่ห้อเดียวกันจะแตกต่างกันตามปริมาณโปรตีนที่ระบุ ปริมาณโปรตีนที่สูงกว่าจะมีราคาสูงกว่า ในการเลือกซื้อก็อยากจะแนะนำให้เลือกดูรสชาติที่ถูกใจ อย่าไปคาดหวังว่าจะให้ซอสปรุงรสเป็นแหล่งโปรตีนสำหรับคุณและสมาชิกในครอบ ครัว เนื่องจากความเค็มจากปริมาณเกลือที่มีอยู่จะเป็นตัวจำกัดปริมาณซอสที่สามารถ เติมลงไปในอาหาร ซึ่งเป็นการจำกัดปริมาณโปรตีนที่จะได้รับด้วย ถ้าคุณถูกใจซอสปรุงรสชนิดโปรตีนต่ำ ก็เป็นบุญของคุณที่เสียเงินซื้อน้อยหน่อย แต่ถ้าคุณไปปิ๊งกับชนิดที่มีโปรตีนสูง ก็คงต้องเสียสตางค์เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย

ข้อสังเกตนี้ขอให้รวมไปถึง การเลือกซื้อซอสปรุงรสชนิดที่สั่งเข้าจากต่างประเทศด้วย เพราะราคาแพงกว่าชนิดที่ผลิตภายในประเทศถึง 3 เท่าตัว คุณต้องตัดสินความอร่อยและเอา 3 หาร หลังจากนั้นจึงค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อมาบริโภคหรือไม่


jojo7000.com

เลือกที่นั่งบนเครื่องอย่างไรให้ปลอดภัย





เลือกที่นั่งบนเครื่องอย่างไรให้ปลอดภัย
ในสถานการณ์ปัจจุบันกับข่าวคราวเหตุการณ์อุบัติเหตุทางเครื่องบิน ที่มีทั้งการสูญเสียและบางครั้งเราจะได้รับข่าว ของการรอดชีวิต ซึ่งหลายคนอาจมองว่า นั่นเองเป็นปฎิหารย์ ซึ่งหากเป็นกรณีเครื่องบินตกท่ามกลางพายุ หรือระเบิดบนอากาศแล้วก็ยากที่จะรอดชีวิต แต่หากเป็นเครื่องนำลงฉุกเฉิน ก็อาจจะมีทั้งผู้เสียชีวิตและผูรอดได้ คำถามที่ชวนสงสัยที่มักถามกับผู้รอดชีวิตเสมอๆ นั่นคือ"คุณรอดมาได้ยังไง แล้วคุณนั่งอยู่ตรส่วนไหนของเครื่องบิน"

แต่ก็มีอีกหลายเสียงที่แย่งว่า "นั่งตรงไหนมันก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้นแหละ" หรือไม่ก็ "แล้วแต่ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นตรงไหน"นี่ก็พิจารณาตามสถานการณ์

นิตยสารป๊อบปูลา มาแคนนิกส์ (The Popula Mechanics) เคยวิจัยโดยวิเคราะห์ทางสถิติไว้ว่า ที่นั่งบนเครื่องบิน นั่งด้านท้ายปลอดภัยกว่า ทั้งนี้จากการศึกษาสถิติจากอุบัติเหตุต่างๆ ของสารพัดสายการบินที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาชี้ให้เห็นว่า ยิ่งอยู่ห่างจากหัวเครื่องบินเท่าไหร่ก็ยิงปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น โดยสถิติจากผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุบนเครื่องบินส่วนใหญ่ 40% มีที่นั่งบริเวณหางเครื่องบิน

นิตยสารดังกล่าว ได้นำข้อมูลอุบัติเหตุของเครื่องบินในสหรัฐฯ จำนวน 20 ครั้ง จากสำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งสหรัฐฯ(NTSB) ตั้งแต่ปี 2514 จนถึง ส.ค. 2550 อย่างละเอียด ที่มีทั้งผู้รอดชีวิตและเสียชีวิตพร้อมทั้งข้อมูลแผนผังที่นั่งของผู้โดยสาร มาวิเคาระห์ว่า อุบัติเหตุแต่ละครั้ง ผูโดยสารในแต่ละที่นั่งมีสภาพเป็นอย่างไร โดยทีมงานได้เปรียบเทียบอัตราการรอดชีวิต โดยแบ่งเครื่องบินออกเป็น4 ส่วน โดยได้ข้อสรุปว่า "ยิ่งใกล้หางยิ่งปลอดภัยกว่า"

อุบัติเหตุ 11 ใน 20 ครั้ง ผู้โดยสารที่นั่งแถวท้ายๆส่วนใหญ่ปลอดภัย หรือประสบอุบัตเหตุเบากว่า โดยใน 7 กรณีของกลุ่มนี้ผู้โดยสารที่ปลอดภัยนั่งอยู่ในแถวท้ายๆ อีกทั้งได้ยกตัวอย่างอุบัติเหตุในปี 2525 กับสายการบินฟอริดา (Air Florida) ที่เกิดขึ้นในวอชิงตันดีซี และปี 2515 กับอีสเทิร์น 727 (Eastern 727) ที่ท่าอากาศยานเคนนาดา ในนิวยอร์ก ซึ่งผู้โดยสารของทั้งของทั้ง 2 กรณีที่รอดชีวิตล้วนนั่งอยู่บริเวณหางของเครื่องบิน อีกทั้งมีกรณีดีซี-8 ของสายการบินยูไนเต็ด เกิดน้ำมันหมดกลางอากาศใกล้กับพอร์ตแลนด์ในปี 2519 มีผู้เสียชีวิต 7 ราย ทั้งหมดล้วนนั่งอยู่ใน 4 แถวแรก

นอกจากนี้มีอุบัตเหุตเพียง 5 ครั้งเท่านั้นที่ผู้โดยสารบริเวณด้านหน้าประสบเหตุเบากว่าซึ่งเหตุการทั้ง 5 เกิดระหว่างปี 2531-2535 ส่วนใหญ่เพราะเหตุเกิดที่บริเวณปีก อย่างอุบัตเหตุในปี 2532 ที่ไอโอวา กับสายการบินยูไนเต็ด มีผู้โดยสารรอดชีวิต 175 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ห้องผู้โดยสารส่วนหน้าปีกและส่วนหัว และอีก 3 ครั้งที่ทั้งผู้นั่งส่วนหัวและท้ายเครื่องมีโอกาสรอดชีวิตพอๆกัน

ส่วนผู้ที่นั่งบริเวณหัวลำปลอดภัยนั้น มีเพียง 1 กรณีเท่านั้น ในปี 2532 เครื่องโบอิง 737-400 ของสายการบินยูเอสแอร์(USAir) เกิดอุบัติเหตุบนทางวิ่ง (รันเวย์) มีผู้โดยสารเสียชีวิตเพี่ยง 2 สายคือ ผูที่นั่งในแถวที่ 21 และ 25

ภาพจากป๊อบปูล่า มาแคนนิกส์ที่แบ่งเครื่องบินออกเป็น 4 ส่วน เมื่อวิเคราะห์ตามสถิติ ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ สีเขียน -ห้องผู้โดยสารส่วนท้าย (Rear Cabin) คือส่วนที่มีโอกาสรอดถึง 69% สีเหลืองประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ ห้องผู้โดยสารที่บริเวณปีกและหน้าปีก มีอัตราการรอดชีวิต56% และส่วนสีแดง-ห้องผู้โดยสารชั้นหนึ่ง และชั้นธุรกิจ (โFirst/Bussiness Class) มีโอกาสรอดชีวิต 49%(และยิ่งอยู่แถวหน้าโอกาสรอดต่ำลงไปอีก)

แม้จะเห็นว่าอัตราการรอดชีวิตหากเกิดอุบัติเหตุบนเครื่องบินไม่แตกต่างกัน มากนัก แต่ที่สำคัญไม่ว่าจะนั่งตรงไหนของเครื่องก็ตามเมื่อรัดเข็มขัดแน่นแล้ว ขอให้ตั้งใจฟังลูกเรือแนะนำกรณีฉุกเฉินต่างๆและประคองสติให้มั่นขณะเกิดเหตุ อย่าลืมว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกขณะ ฉะนั้นต้องไม่ประมาท

ดังน้นการจัดการสาธิตเพื่อการเตรียมตัวของผู้โดยสารและความปลอดภัยบนเครื่องบิน เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้โดยสารไม่ควรละเลยเริ่มตั้งแต่

1. ผู้โดยสารต้องเก็บของไว้ในที่เก็บของเหนือศรีษะหรือใต้ที่นั่งด้านหน้า เพราะถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินจะกลายเป็นสิ่งกีดขวางเส้นทางหนีของผู้โดยสารเอง

2.การ รัดเข็มขัดที่ถูกต้อง-ต้องรัดให้กระชับที่ระดับสะโพก หากเกิดเหตุฉุกเฉินเข็มขัดจะรั้งช่วงสะโพก ซึ่งถือเป็นจุดค่อนข้างแข็งแรง และต้องรัดเข็มขัดไว้ตลอดเวลาขณะนั่งประจำที่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเราไม่รู้ว่าเครื่องบินจะตกหลุมอากาศตอนไหน

3.ควรปรับพนักเก้าอี้ให้ตั้งตรง พับเก็บโต๊ะหน้าที่นั่งและให้เปิดหน้าต่างทุกบาน เนื่องจากช่วงเครื่องบินกำลังบินขึ้นและบินลงนั้นกว่า 90 % ของอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินสิ่งเหล่านั้นจะขวางทางขณะหนีออกจากตัวเครื่องบิน การเปิดกระจกตลอดการเดินทางผู้โดยสารจะได้มองเห็นสถารณ์ภายนอก ถ้าปิดหน้าต่างจะไม่รู้ว่าภายนอกเป็นอย่างไร

4.การใช้โทรโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณืการสือสารต่างๆ ไม่ควรใช้อย่างเด็ดขาด เพราะเคลื่นสัญญาณจากโทรศัพท์มือถือจะรบกวนการติดต่อสื่อสารระหว่างนักบิน และหอบังคับการบินเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้

5.เวลาขึ้นเครื่องไม่ควรจะใส่ส้นสูง เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายในขณะที่เคลื่อนย้ายผู้โดยสารฉุกเฉิน โดยเฉพาะตอนอพยพผู้โดยสารจะต้องถอดรองเท้าและสไลด์ลงไปตามสไลด์ราฟท์ เพราะถ้าใส่ส้นสูงหรือรองเท้า อาจจะทำให้ส้นรองเท้าไปเกาะเกี่ยวกับเบาะ อาจทำให้เบาะร่วงและไม่อาจใช้การได้

นอกเหนือจากข้อมูลของการเลือกที่นั่งแล้ว การฟังลูกเรือที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัย และสาธิตอุปกรณืความปลอดภัยบนเครื่องบินก็เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของผู้โย สารเอง

ที่มา jojo7000

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์มากมายในผักกาด





ผักกาดจัดเป็นผักประเภทกินใบ ได้แก่ ผักกาดขาว ผักกาดดำ ซึ่งถือว่าเป็นผักพื้นเมืองในไทย ดองได้อร่อยกว่าผักดองเปรี้ยวเค็มชนิดอื่น ผักกาดขาวปลีที่ชาวไร่ปลูกขายในโรงงาน ปรุงสดๆ จะขมเฝื่อน แต่ถ้าดองแล้วรสชาติดี กรอบไม่ยุ่ย เก็บไว้ได้นานไม่เสีย หากปลูกกันมาก จะมีราคาถูก ต่ำสุดอยู่ที่ กก.ละ 30 สตางค์ หากในหน้าแล้งปลูกน้อย ราคาจะแพงถึง กก.ละ 5 บาทเลยทีเดียว กะหล่ำปลีและผักกาดกวางตุ้งอยู่ในตระกูลเดียวกัน ปลูกกันมากที่สุดในประเทศจีน สามารถนำมาทำเป็นแกงผักกาดจอและทำมัสตาร์ดขายไปทั่ว คะน้า ก็เป็นผักกาดอย่างหนึ่ง เชื่อว่ามีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกได้แข็งแรง และผักกาดโสภณ หรือผักฮ่องเต้ จะมีราคาแพงหน่อย แต่ก็มีสารอาหารพอๆ กัน

ผักกาดกินดอก เช่น กะหล่ำดอก ในทางวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแล้วว่า อุดม ไปด้วยสารต่างๆ ที่ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง คนไทยในอดีต จึงคั้นเอาแต่น้ำสดๆ อมกลั้วคอ รักษาอาการร้อนใน และทารักษาโรคเรื้อนกวาง บร็อคโคลี่ ก็นับว่าเป็นตระกูลเดียวกับผักกาด มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กะหล่ำดอกอิตาเลียน

ผัก ทั้ง 2 ชนิดนี้ ดอกกะหล่ำสวยๆ ขาวๆ ชาวสวนจะใช้ยาฆ่าแมลงและยากันเชื้อราฉีดลงไปทุกๆ วันนกว่าจะตัดขาย ซึ่งถ้าไม่ทำเช่นนั้นแล้ว ผักก็จะถูกหนอนเจาะ และเชื้อดำระบาดบนดอก ซึ่งจะต้องหมั่นล้างและแช่ผักเพื่อให้สารเคมีของยาฆ่าแมลงหมดไป บร็อคโคลี่ กินได้สบายปาก แมลงมักไม่ค่อยะมารังควานเท่าไหร่นัก อีกทั้งยังไม่เป็นที่นิยมรับประทานกันสักเท่าไหร่ จึงปลูกน้อย รวมทั้งปลูกให้ดูดีก็ยาก เพราะชอบอากาศที่หนาวเย็นมาก

ผัก อีกอย่างที่อยู่ในตระกูลเดียวกับผักกาด ก็คือ หัวผักกาด ซึ่งกินแต่ส่วนหัว เช่น นำมาทำแกงจืด แกงส้ม หัวไชเท้า และดองไชโป๊หวาน และโหระพา ซึ่งเด็ดเอาแต่ใบ ล้างและแช่น้ำให้สดและกรอบ

สำหรับคุณค่าอาหารในผักกาด ที่เก็บมาฝากก็มีดังต่อไปนี้ บร็อคโคลี่ ซึ่งมีพลังงานมากกว่าผักชนิดอื่นๆ รองลงมา ก็คือ คะน้า หัวไชโป๊ กะหล่ำดอก ผักกาดขาวปลี(อีลุ้ย) และกวางตุ้ง ส่วนผักกาดหอม(ผักสลัด) ผักกาดแก้วที่ปลูกบนดอยสูง กับผักกาดนกเขา ไม่จัดเป็นผักในวงศ์เครือญาติของผักกาด ฝรั่งได้บอกว่า มันเป็นผักกาดปลอม

หากอยาก จะทานผักกาดให้อร่อย ต้องปรุงให้สุกอย่างเร็ว โดยใส่ลงไปในน้ำเดือดจัดๆ ประมาณ 3 นาที ยกลงออกจากเตา หรือผัดด้วยไฟแรง และถ้าต้องการทำสลัด ก็ฉีกด้วยมือ ผักจะสดกรอบดีกว่าหั่นมีด

นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่า ผักตระกูลผักกาด เป็นผักที่รักษาโรคครอบจักรวาล จึงแนะนำให้รับประทานผักอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยป้องกันกระดูกพรุน หูตาที่ฝ้ามัว ป้องกันมะเร็ง หรือกินคะน้าที่สร้างเสริมกระดูกให้แข็งแรง จึงขึ้นชื่อว่า ผักสร้างกระดูก สารสำคัญที่พบในผักเหล่านี้ ก็คือ ซันโฟราเฟน (sulforaphane) สารผลึกอินโดลส์ (indoles) กรดธรรมชาติโฟลิก (folic acid) และกำมะถัน (sulphur)

แพทย์แผนไทยโบราณ ได้จัดผักกาดเป็นสมุนไพร ซึ่งสามารถนำผักจำพวกผักกาดต้มน้ำ ดื่มแก้เจ็บคอ หยดเป็นยาล้างแผลเรื้อรัง หอบหืด อีกวิธีหนึ่งคือ บดผักกาดหรือกวางตุ้ง คั้นเอาแต่น้ำ1 ถ้วย เทลงไปในน้ำเดือดจัด 2 ช้อนโต๊ะตั้งบนไฟ รีบยกออก ทิ้งไว้ให้อุ่น ดื่มแทนน้ำเสริมพลังงาน ลดอาการแก่ชราที่ความจำไม่ค่อยดีได้ ซึ่งเป็นแบบอย่างของจีน

จีน เป็นชาติที่น่านับถือในเรื่องการดูแลสุขภาพ เห็นว่ามีการตั้งโรงงานผลิตน้ำผักกาดสกัดเป็นแคบซูลขาย ซึ่งเป็นอาหารเสริม นับว่าสะดวกอย่างมาก

เราสามารถลวกใบผักกาดขาว ตัดเป็นชิ้นๆ โรยกับเกลือ น้ำส้ม น้ำตาล เหยาะน้ำมันงาบริสุทธิ์ 1 ช้อนชา หมักประมาณ 10 นาที ทานกับข้าวต้มทุกวัน จะฟื้นตัวจากไวรัสตับอักเสบบีได้รวดเร็ว

สำหรับผักกาดเขียวปลี ครึ่งกก. เต้าหู้ขาว 3 ชิ้น มะขามป้อมลูกโต 8 ลูก ขิงสดแง่งใหญ่ นำไปต้มกับน้ำ 4 แก้ว ดื่มหลังอาหาร แก้อาการหวัดเย็นได้ อีกวิธีหนึ่ง คือ นำผักกาดเขียวปลี 1 กก.กับแห้วสดครึ่งกก. ต้มดื่มเป็นน้ำชา แล้วบีบมะนาวลงไปด้วย ช่วยขับปัสสาวะและลดความร้อนในร่างกาย ป้องกันโรคนิ่วได้
ที่มา jojo7000.com

6P เพื่อความสำเร็จในการทำงาน





ในช่วงปีที่ผ่านมา ใครที่คิดว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเท่าที่ควร ก็อย่าเพิ่งท้อ ลองค้นหาจุดบกพร่องของตัวเอง แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น พร้อมทั้งหาเทคนิควิธีการใหม่ๆ มาปรับใช้ในการทำงาน ซึ่งวันนี้ทีมงานมีเทคนิคในการทำงานดีๆ ที่เรียกว่า คาถา 6 P มาฝากกัน

1. P-Positive Thinking คือ การมีทัศนคติที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ ไม่คิดใน ทางลบ เช่น หากเจอปัญหาในการทำงาน แทนที่จะมานั่งกลุ้มใจคิดว่าคราวนี้ต้องแย่แน่ๆ ก็ให้มองว่า นี่เป็นหนทางหนึ่งที่จะฝึกฝนให้เราเก่งกล้ามากยิ่งขึ้น

2. P-Peaceful Mind คือ การมีจิตใจที่สงบ เคยได้ยินคำพูดที่ว่า “จงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว” หรือเปล่า คำพูดนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว เวลาเกิดปัญหาขึ้น เราอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปกับปัญหานั้น การที่เรามีจิตใจที่สงบ มีสมาธิ จะทำให้เราเกิดปัญญาในการคิดหาวิธีแก้ปัญหา นอกจากนี้ ยังทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย

3. P-Patient คือ การมีความอดทน คาถาข้อนี้ก็สอดคล้องกับข้อที่แล้ว เพราะการที่เราจะมีจิตใจที่สงบได้ เราต้องรู้จักอดทนอดกลั้น ระงับอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดีต่างๆ หากสิ่งใดไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ เราก็ต้องอดทนรอคอยให้ถึงช่วงเวลาของเรา นอกจากนี้ยังต้องอดทนต่อปัญหาและความยากลำบากในการทำงานด้วย

4. P-Punctual คือ การเป็นคนตรงต่อเวลา มนุษย์เราได้ถูกปลูกฝังให้เป็นคนมีวินัย รู้จักตรงต่อเวลามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เช่น การไม่มาโรงเรียนสาย การส่งการบ้านให้ตรงเวลา ในการทำงานก็เช่นกัน หากเรามาทำงานสาย เจ้านายหรือหัวหน้าก็คงไม่ชอบแน่ๆ แล้วยิ่งถ้าเราผิดนัดลูกค้า ผลเสียคงตามมาอีกเป็นกระบุง เพราะแม้แต่เวลายังรักษาไม่ได้ แล้วคุณจะได้รับความไว้วางใจให้ทำงานใดๆ ล่ะ

5. P-Polite คือ การเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน การเป็นคนสุภาพนอบน้อมจะทำให้มีแต่คนรักใคร่ และอยากช่วยเหลือ ยิ่งถ้าเรามีตำแหน่งใหญ่โตด้วยแล้ว ยิ่งต้องมีความสุภาพอ่อนน้อม เพราะจะทำให้ผู้อื่นยิ่งเกรงใจเรามากขึ้น ตรงกันข้าม การทำตัวกระด้างกระเดื่องหยิ่งยโส ย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคม และไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย

6. P-Professional คือ ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน การที่เรามีหน้าที่อะไร เราก็ควรทำตัวให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในหน้าที่นั้นๆ หมั่นแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และหมั่นฝึกปรือฝีมือในการทำงานอยู่เสมอ เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด การทำงานอย่างมืออาชีพ จะเป็นที่ชื่นชมและไว้วางใจของเจ้านาย รวมไปถึงลูกค้าที่ย่อมจะพอใจ และไว้วางใจให้เราทำงาน ดูแลงานของเขาต่อไป

คาถา 6 P ที่นำมาฝากนี้ อยากให้คุณผู้อ่านนำไปปฏิบัติให้เป็นนิสัย รับรองว่ามันจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การ งานอย่างแน่นอน!


ที่มา jojo7000.com

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

ปิโตรเคมี... ประโยชน์มหาศาลมากกว่าที่เราคิด





เราได้ประโยชน์อะไรจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี(วิชาการ)

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นการนำวัตถุดิบจากอุตสาหกรรมปิโตรเลียมไปผลิตต่อ เนื่องจนเป็นเม็ดพลาสติกเส้นใยสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ สารเคลือบผิว และกาวต่างๆ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเหล่านี้เป็นวัตถึดิบพื้นฐานที่สำคัญในการผลิตเครื่อง อุปโภคบริโภค ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ รวมไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ทำให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นอุตสาหกรรมตั้นน้ำที่ก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ มากมาย เพราะสามารถนำไปใช้ผลิตสินค้าพื้นฐานที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมุนษย์หรือ ที่เรียกว่า ปัจจัย 4 ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมายให้คนไทยได้ใช้ประโยชน์อย่างมหาศาล เอื้อประโยชน์เชื่อมโยงกันและกันเป็นวงจร จนผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกลายเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญแห่งการดำเนิน ชีวิตประจำวัน และพัฒนาประเทศของเราไปแล้ว


ปิโตรเคมี... ประโยชน์มหาศาลมากกว่าที่เราคิด
ก๊าซไลน์ (41 views) first post: Tue 29 September 2009 last update: Tue 29 September 2009
อุตสาห กรรมปิโตรเคมีมีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นอุตสาหกรรมตั้นน้ำที่ก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ เพราะสามารถนำไปใช้ผลิตสินค้าพื้นฐานที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมุนษย์

หน้าที่ 1 - ปิโตรเคมี... ประโยชน์มหาศาลมากกว่าที่เราคิด

ขอบคุณข้อมูลจากจุลสารก๊าซไลน์ ภายใต้ความร่วมมือของ ปตท.กับวิชาการดอทคอม
ที่มา : จุลสารก๊าซไลน์



เราได้ประโยชน์อะไรจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นการนำวัตถุดิบจากอุตสาหกรรมปิโตรเลียมไปผลิตต่อ เนื่องจนเป็นเม็ดพลาสติกเส้นใยสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ สารเคลือบผิว และกาวต่างๆ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเหล่านี้เป็นวัตถึดิบพื้นฐานที่สำคัญในการผลิตเครื่อง อุปโภคบริโภค ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ รวมไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ทำให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นอุตสาหกรรมตั้นน้ำที่ก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ มากมาย เพราะสามารถนำไปใช้ผลิตสินค้าพื้นฐานที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมุนษย์หรือ ที่เรียกว่า ปัจจัย 4 ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมายให้คนไทยได้ใช้ประโยชน์อย่างมหาศาล เอื้อประโยชน์เชื่อมโยงกันและกันเป็นวงจร จนผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกลายเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญแห่งการดำเนิน ชีวิตประจำวัน และพัฒนาประเทศของเราไปแล้ว


ในภาพรวม กล่าวได้ว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีอำนวยประโยชน์ต่อคนไทยปลายประการ อาทิ

1. ประเทศไทยใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นทรัพยากรของเราในการผลิตไฟฟ้า เรายังสามารถนำก๊าซธรรมชาติไปใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แปรรูปเป็นสิ่งของเครื่องใช้พลาสติกและวัสดุสังเคราะห์ต่างๆ ได้หลากหลาย เพิ่มมูลค่าให้ทรัพยากรธรรมชาติไทย
2. ประหยัดเงินตราต่างประเทศ ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและเม็ดพลาสติกจากต่างประเทศ และสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศจากการส่งเม็ดพลาสติกออกขายต่างชาติ
3. คนไทยซื้อของใช้ที่ทำจากพลาสติกและวัสดุสังเคราะห์ต่างๆ ได้ในราคาถูก เพราะเราสามารถผลิตเม็ดพลาสติกในประเทศได้เอง ทำให้มีแหล่งวัตถุดิบที่แน่นอน ตอบสนองความต้องการได้อย่างต่อเนื่องไม่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ต้นทุนการผลิตจึงถูกลง
4. สร้างรายได้และความเจริญแก่ท้องถิ่น ผ่านทางระบบภาษีและการจ้างงานสร้างอาชีพ ทักษะการทำงานหมุนเวียนของเงินภายในประเทศ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

ลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

อุตสากรรมปิโตรเคมีอาจฟังเป็นอุตสาหกรรมท่ไกลตัว ไกลวิถีชีวิตประจำวันของเรา แต่จริงๆ แล้วอุตสาหกรรมปิโตรเคมีถือเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญที่ผลิตวัตถุดิบ สำหรับอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ทำให้เกิดการต่อยอดทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ

ลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ได้แก่

1. อุสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นอุตสาหกรรมที่มีวัฏจักร (Life Cycle) มีขาขึ้น ขาลง : การขึ้นลงดังกล่าวมีผลกระทบต่อการลงทุน โดยวัฏจักรทางธุรกิจดังกล่าวเปรียบเสมือนดาบสองคม ดังนั้น การเตรียมตัวเข้าสู่การผลิตต้องได้จังหวะกับวัฏจักรขาขึ้น โรงงานที่เข้าสู่การผลิตช่วงขาขึ้นจะมีความสามารถคืนเงินต้นและดอกเบี้ยตาม กำหนดได้ดีกว่าโรงงานที่เข้าสู่การผลิตตอนขาลงของวัฏจักร
2. เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ : เนื่องจากต้องประกอบด้วยอุตสาหกรรมปิโตรเคมี 3 ขั้น ซึ่งในแต่ละขั้นมีขนาดใหญ่ ใช้เงินลงทุนสูงในตัวอยู่แล้ว
3. ต้องใช้เงินลงทุนสูง : อุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้องอาศัยเทคโนโลยีในการผลิต และมูลค่าการก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้เม็ดเงินมหาศาลใช้เวลาก่อสร้าง นานกว่าที่บริษัทจะสามารถดำเนินการผลิต/ขายได้จริง ในขณะที่มีผู้แข่งขันในตลาดเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการแข่งขันตัดราคาผลิตภัณฑ์ ดังนั้น ผู้ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าของวัตถุดิบ จะเป็นผู้ได้เปรียบในการแข่งขัน (Cost-based business)
4. มีการแข่งขันสูง : เนื่องจากในแต่ละภูมิภาค มีผู้ผลิตเป็นจำนวนมากและต่างมุ่งขยายธุรกิจให้ครบวงจร รวมทั้งการขนส่งผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นปลายของอุตสาหกรรมก็ทำได้ด้วยความสะดวก การแข่งขันทางการตลาดจึงมีสูงจากผู้ผลิตที่มีอยู่ทั่วโลก
5. อัตราการใช้ผลิตภัณฑ์ปริโตรเคมีต่ออัตราการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศอยู่สัดส่วนประมาณ 2 ต่อ 1 : การเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมต่างๆ มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับการขยายตัวในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กล่าวคือ หากประเทศมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดี ประชาชนก็จะมีฐานะและกำลังซื้อสูงขึ้น อัตราการบริโภคสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ก็จะสูงขึ้นตามไป
6. เป็นอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบซึ่งกันและกัน : โดยผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมขั้นต้นจะเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมขั้นกลาง และผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมขั้นกลางจะเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมขั้นปลาย ดังนั้น การเติบโตของอุตสาหกรรมขั้นปลายจะส่งผลให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมขั้น กลางและนำไปสู่การเติบโตของอุตสาหกรรมขั้นต้นตามลำดับ โอกาสในการขยายตัวของอุตสาหกรรมปริโตเคมีขั้นต้นจึงต้องพิจารณาจากสถานะของ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลาย หรืออุตสาหกรรมเม็ดพลาสติก หากอุตสาหกรรมเม็ดพลาสติกมีอันต้องหยุดชะงักลงก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ ผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้นไปด้วย


ที่มา jojo7000.com

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

เทคนิคการสอบสัมภาษณ์





บทความนี้เป็นแนวทาง สำหรับผู้ที่ได้รับ การเรียกตัวให้ เข้าสอบสัมภาษณ์ ซึ่งอาจจะเป็นผู้ที่ผ่านการสอบข้อเขียน หรือได้รับการ คัดเลือก จากจดหมายสมัครงาน เพื่อทดสอบความรู้ ความสามารถ บุคลิกภาพ ทักษะไหวพริบ ซึ่งผู้ประกอบการจะต้อง พิจารณาผู้ที่มีความ เหมาะสมที่สุด ดังนั้นผู้ที่เข้าสอบสัมภาษณ์ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ซึ่งบทความนี้อาจเป็นแนวทางเพื่อพิชิตสิ่งที่หวังไว้

- เตรียมตัวให้พร้อมที่สุด รักษาสุขภาพ ระมัดระวังเรื่องการกิน การพักผ่อน หลายคนพลาดท่าเรื่องการกินมาแล้ว เช่น ท้องเสีย เป็นไข้ ซึ่งอาจเกิดจากความวิตกกังวล ความเครียด ฯลฯ บางคนเพื่อนฝูงมาร่วมแสดงความยินดีล่วงหน้า ฉลองล่วงหน้าหามรุ่งหามค่ำ พับเพียบไปก็เยอะนะ จะหาว่าไม่บอก ลดความวิตกกังวล ทบทวนความรู้ ปรึกษาผู้ที่มีประสบการณ์ เตรียมตัวเตรียมใจให้ดี

- แต่งกายอย่างไรดี อันนี้สำคัญเพราะเขาจะมองคุณด้วยความละเอียดมันหมายถึงบุคลิกภาพ และบ่งบอกว่า คุณ เป็น คนลักษณะอย่างไร ถ้าแต่งกายดีสุด สุด ด้วยเสื้อผ้าราคาแพง เขาอาจมองว่าคุณเป็นคนรสนิยมสูงฟุ่มเฟือย (แล้วแต่ลักษณะงานนะ ถ้าคุณไปสมัครเป็นนักร้องวัยรุ่น ดารา หรือนายแบบหรือผู้บริหารก็เป็นอีกอย่าง ) ควรแต่งกายสุภาพสมฐานะ ใส่เสื้อเชิ๊ต กางเกงสุภาพ อย่าใส่ยีนส์นะขอร้อง เขาจะหาว่าไม่รู้กาละเทศะ ไม่รุ่มร่าม หรือคับเกินไป ห้ามใส่รองเท้าแตะ เด็ดขาด ควรใส่รองเท้าหนังสีสุภาพ ไม่มีลวดลาย พูดง่าย ๆ แต่งตัวให้สุภาพดูดีเท่านั้นพอ

- ควรเตรียมอะไรไปบ้าง ก่อนเดินทางไปสัมภาษณ์ควรติดต่อสอบถาม และดูรายละเอียดให้ชัดเจน ว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้างปกติจะเตรียมหลักฐานต่าง ๆ ที่สำคัญ ซึ่งเขาอาจจะขอเพิ่มเติม ตัวอย่างผลงาน เช่น ภาพวาด ภาพถ่าย หรืออื่น ๆ ตามลักษณะของตำแหน่งงาน และที่จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณมากที่สุด แต่อย่าพะรุงพะรัง จะทำให้เสียบุคลิกภาพเปล่า ๆ

- ควรเดินทางไปถึงที่สัมภาษณ์เมื่อใด ก่อนอื่นคุณต้องมั่นใจว่าจะไปถึงที่สอบใช้เวลาเท่าใด โดยเฉพาะคนที่อยู่ต่างจังหวัด แล้วเดินทางเข้าไปสอบในกรุงเทพ พลาดมาเยอะเหมือนกัน ต้องหาข้อมูลให้ชัดเจน และต้องแน่ใจว่าเขานัดสัมภาษณ์ที่ใด ถ้าไม่แน่ใจให้เดินทาง ไปดูล่วงหน้าก่อน แต่ที่ดีที่สุดควรเดินทางไปถึงที่สัมภาษณ์ล่วงหน้าประมาณสัก 15 นาที จะทำให้เรามีสมาธิ และมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น แต่ถ้าไปถึงล่วงหน้าเป็นชั่วโมง ก็ดีแต่อาจจะทำให้คุณรอนานอาจเกิดความหงุดหงิด เสียสมาธิได้ และควรไปคนเดียว ถ้าไม่จำเป็นอย่าพาผู้อื่นไปด้วยเพราะจะทำให้เราพะวง เขาอาจจะมองว่าคุณยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ

- ทำอย่างไรดีขณะนั่งรอสัมภาษณ์ ระหว่างนั่งรอสัมภาษณ์ จงใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ที่สุด พยายาม หาข้อมูลเกี่ยวกับ หน่วยงานที่ คุณสัมภาษณ์ให้มากที่สุด เช่น เอกสาร แผ่นพับ ตัวอย่างผลงาน หรือสอบถามจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพื่อหารายละเอียดเพิ่มเติมที่จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณให้มากที่สุด พยายามแสดงความเป็นมิตรที่ดีด้วยรอยยิ้ม กับผู้อื่นรวมทั้งผู้เข้าสอบด้วยกันเพื่อสร้างความประทับใจ อย่าใช้สายตาว่าเขาคือศตรูหรือคู่แข่งซึ่งมันจะไม่เป็นผลดีสำหรับคุณเลย

- เมื่อถูกเรียกตัวเข้าสัมภาษณ์ ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ลองหายใจลึก ๆ แต่อย่ามากอาจหน้ามืดก่อน ถ้ามีประตูควร เคาะ ประตู เสียก่อน ตามมารยาท ยกมือวันทาด้วยท่าทางสุภาพ ควรไหว้ประธานหรือผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดเพียงผู้เดียวถ้านั่งอยู่หลายคน โดยทั่วไปมัก นั่ง ตรงกลาง เรื่องนี้ ใช้ไหวพริบเองก็แล้วกัน อย่าเพิ่งนั่งจนกว่าจะได้รับอนุญาต หรือ คำเชิญจากผู้สัมภาษณ์ กล่าวขอบคุณครับแล้วนั่งให้หัวใจเต้น เบาลง จงมีสายตาท่าทางที่เป็นมิตร ห้ามหยิ่ง อันนี้แน่อยู่แล้วโดยธรรมชาติ

- เมื่อได้ฟังคำถามคำแรก จงตอบคำถามด้วยความมั่นใจ ฉะฉาน ยกเว้นคุณไปสมัครเป็นนางเอกหนังเรื่องนางอาย พูดให้เป็นธรรมชาติด้วยเสียงที่พอเหมาะอย่าค่อย หรือดังเกินไป จงพูดเท่าที่จำเป็นอย่าคุยโม้โอ้อวด หรือถ่อมตนมากเกินไป จงพูดในสิ่งที่เป็นความจริงและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคำถามและเป็นประโยชน์ สำหรับคุณให้มากที่สุด

- ถ้าไม่เข้าใจคำถาม ? อย่าเดาคำถามอย่างเด็ดขาดควรกล่าวคำขอโทษและขอทบทวนคำถามอีกครั้งให้แน่ใจ แต่อย่าไม่เข้าใจบ่อยมาก ไม่ดี ถ้าคุณเข้าใจคำถามผิด แล้วเขาทักมากรุณากล่าวคำขอโทษแล้วตอบใหม่อย่ายืนยันคำพูดเดิม หรือย่าเถียงเด็ดขาด อาจทำให้การสัมภาษณ์ยุติลง

- ถ้าพบกับคำถามที่ตอบไม่ได้ จงอย่าอ้างว่าไม่ได้เรียนมา และอย่าแสดงกริยาหงุดหงิดอารมณ์เสีย เขาอาจจะอยากลองดูไหวพริบการแก้ปัญหาของคุณ อันนี้อย่าตอบมั่วเด็ดขาด ยอมรับซะว่าไม่ทราบจริง ๆ และจะไปสืบค้นหาคำตอบภายหลัง ซึ่งแสดงว่าคุณเป็นผู้ใฝ่รู้ (ต้องทำจริง ๆ นะ) อย่าขอเปลี่ยนคำถามหรือขอผู้ช่วยเพราะไม่ใช่เกมโชว์

- คำถามที่ลำบากใจ นอกจากคำถามที่ตอบไม่ได้แล้ว ยังอาจเจอคำถามที่ลำบากใจ ทำใจเย็น ๆ ไว้ เช่น คุณต้องการเงินเดือนเท่าไหร่ อันนี้อาจพบแน่ ถ้าตอบมากไปกลัวเขาไม่จ้าง ถ้าตอบน้อยไปกลัวเขาให้แค่นั้น แต่โดยปกติเขาจะมีเกณฑ์อยู่แล้ว เพียงแต่อยากดูความคาดหวังของเรา จงหาข้อมูลก่อนว่าที่นี่เขาจ้างอย่างไร ตำแหน่งคุณเริ่มต้นได้เท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ทราบจริง ๆ ก็ยึดถือการจ้างตามอัตราเงินเดือนที่ กพ. กำหนด แต่อาจจะต้องคำนึงถึงความยากง่ายของงานด้วย จงใช้ไหวพริบของคุณตอบให้ดีที่สุด อย่าพูดในสิ่งที่ทำไม่ได้ และไม่มั่นใจอาจจะสร้างปัญหาได้ในภายหลัง

- การใช้วาจา ใน ระหว่างสัมภาษณ์ ควรใช้คำพูดที่ฉะฉานไม่ก้าวร้าว อย่าพูดคำพูดที่ไม่แน่ใจบ่อย ๆ หรือ ภาษาที่เป็นกระแสนิยม เช่น ใช่มั้งคะ ! แบบว่า! ว้าวดีจังเลย! จ๊าบจริงครับ! เจ๋งเลยครับ! ระวังดี ๆ นะโดยเฉพาะคนที่พูดบ่อย ๆ จนเป็นนิสัยอาจจะหลุดออกมาได้ มือขอให้อยู่เป็นสุขอย่าคุ้ยแคะแกะเกา ระวังให้ดีให้มันอยู่ในที่ที่ควรอยู่ จงใช้เท่าที่จำเป็น ถ้าเป็นการเปลี่ยนงานอย่านินทาว่าร้ายที่ทำงานเดิมของคุณเป็นอันขาด จงชี้แจงสิ่งที่เป็นเหตุผลในการเปลี่ยนงานตามความเป็นจริง (ในสิ่งที่เปิดเผยได้)

- เมื่อการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง เป็น ธรรมดาครับ ก็ต้องกล่าวขอบคุณที่ให้โอกาส แม้ว่าการสัมภาษณ์อาจจะไม่เป็นที่พอใจคุณเท่าใดนัก เช่น อาจตอบคำถามไม่ดี หรือมีข้อผิดพลาด พยายามข่มใจไว้ ไหว้งาม ๆ แล้วเดินออกไป อย่าลืมเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อย เช่น โต๊ะ เก้าอี้

- หนังสือขอบคุณสักฉบับก็ดี เมื่อเขาให้โอกาสคุณแล้วอาจจะมีหนังสือขอบคุณที่ให้โอกาสเข้าพบ ถึงแม้ว่าจะพลาด หวังก็ตามซึ่ง จะสร้าง ความประทับใจทั้ง 2 ฝ่าย อย่าลืมว่าโอกาสหน้ายังมีอีกที่เราอาจต้องมาสมัครที่นี่อีก ถ้าคุณได้งานทำก็น่าดีใจและตั้งใจทำให้เต็มความสามารถ ที่สำคัญคือ น้ำใจ เอื้ออาทร เสียสละ แต่ถ้าพลาดหวังนั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความสามารถ เขาอาจอยากได้เราแต่มีคนที่เหมาะสมกว่า หรือ ความสามารถ ของเราไม่ตรงกับความต้องการของเขาก็ได้

ที่มา jojo7000.com

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ระวัง! ทำร้ายกระดูกสันหลัง โดยไม่รู้ตัว





กระดูกสันหลังนอกจากจะมีความสำคัญต่อ บุคลิกภาพแล้ว บริเวณกระดูกสันหลังก็ยังเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทต่างๆ ที่มาจากสมองอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเส้นประสาทที่ใช้ในการขยับเคลื่อนไหว รวมทั้งระบบประสาทอัตโนมัติ ฉะนั้นกระดูกสันหลังจึงต้องการความแข็งแรงเป็นพิเศษ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่กระดูกสันหลังไม่แข็งแรงก็จะกระทบกระเทือนไปถึงระบบ ประสาทต่างๆ ได้ นพ.ทายาท บูรณกาล ผู้อำนวยการศูนย์รักษากระดูกสันหลังกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ความรู้ว่าในปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ยังดูแลกระดูกสันหลัง ได้ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากคนไทยมีพฤติกรรมบางอย่างที่เสี่ยงต่อการทำร้ายกระดูก ไม่ว่าจะเป็นการนั่งกับพื้น การนั่งสมาธิ นั่งพับเพียบ ฯลฯ ที่เป็นการทำร้ายกระดูกสันหลัง รวมไปจนถึงการออกกำลังกายที่ไม่เพียงพอ และสุดท้ายก็คือโรคอ้วนที่ส่งผลต่อกระดูกสันหลังได้เช่นกัน

“การ ที่มีน้ำหนักตัว เกินกำหนด น้ำหนักตัวจะไปโหลดต่อกระดูกสันหลัง และทำให้กระดูกสันหลังเกิดการเสื่อมแตก เคลื่อนได้เร็วขึ้น และอาจจะส่งผลต่อการกดของไขสันหลังได้”

โดย ปัญหาของกระดูกสันหลังที่พบมากที่ สุดก็คือ การเสื่อมของกระดูกสันหลัง ซึ่งสามารถแสดงออกมาได้หลากหลายรูปแบบ อาทิ หมอนรองกระดูกแตก หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทกระดูกสันหลังเคลื่อน ฯลฯ

“การ เสื่อมของกระดูกสันหลังก็จะเป็น การเสื่อมไปตามอายุขัยที่เพิ่มมากขึ้น โดยกระดูกสันหลังของคนเราจะเริ่มเสื่อมตั้งแต่อายุ 25 ปีโดยประมาณ แต่บางคนอายุมากขึ้นแต่กระดูกสันหลังก็ยังแข็งแรงอยู่นะ ส่วนหนึ่งก็มาจากการออกกำลังกาย ซึ่งผมมองว่าเป็นวิธีง่ายๆ ที่ทำให้กระดูกสันหลังแข็งแรงมากที่สุด อีกเรื่องก็คือการใช้งานกระดูกให้ถูกวิธี หลีกเลี่ยงท่าทาง การปฏิบัติตัวที่ทำร้ายกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังก็จะแข็งแรงและเสื่อมช้าลง”

10 พฤติกรรมทำร้ายกระดูกสันหลัง
หลาย คนเคยทำร้ายกระดูกสันหลังแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ลองดูว่ามีอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตให้ถูกวิธี เพื่อชะลอการเสื่อมของกระดูกสันหลัง

* การนั่งไขว่ห้าง ซึ่งจะทำให้น้ำหนักตัวกดลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด
* การนั่งกอดอก จะทำให้หลังช่วงบนสะบัก และหัวไหล่ถูกยืดยาวออก รวมทั้งทำให้หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปข้างหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้
* การนั่งหลังงอหลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้างเกิดการคั่งของกรดเล็กติก มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
* การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มกัน จะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก
* การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว ซึ่งการยืนที่ถูกต้องควรจะต้องลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จึงจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย
* การยืนแอ่นพุงหลังค่อม ควรยืนให้หลังตรง แขม่วหน้าท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษา แนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่น และทำให้ไม่ปวดหลัง
* การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลัง ช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง
* การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียวต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน โดยควรเปลี่ยนเป็นการถือกระป๋าโดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้เกิดการทำงานหนักอยู่ข้างเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้
* การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ
* การขดตัวหรือนอนตัวเอียง โดยท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคงให้หาหมอนข้างกาย โดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

ดูแลหลังให้ดีป้องกันการปวดหลัง

หลัง ของคนเราต้องทำงานตลอด 24 ชม. ไม่ว่าจะเป็นเวลานั่ง นอน หรือเดิน ดังนั้นเราจึงควรปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันอาการปวดหลังด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้

* การทำงานที่ต้องก้มๆ เงยๆ ให้ใช้วิธีย่อเข่าแทนการก้มหลังเพื่อการทำงาน
* การยกของ ยกให้ถูกวิธีด้วยการย่อเข่าลงให้ใกล้ของที่จะยกมากที่สุด จับสิ่งที่จะยกให้มั่นคง เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องขณะยกของขึ้น ห้ามก้มและบิดเอี้ยวตัวขณะยกของ ทางที่ดีควรวางของไว้บนโต๊ะเก้าอี้ หรือที่ที่มีระดับความสูงเหมาะสมเพื่อช่วยทุ่นแรง
* การเคลื่อนย้ายสิ่งของ ใช้รถเข็นช่วยในการเคลื่อนย้าย และหลีกเลี่ยงการลากจูงรถ เนื่องจากจะทำให้ต้องก้มตัว หรือดันรถเข็นโดยใช้แรงจากกล้ามเนื้องแขนพร้อมรักษาแนวของหลักให้ตรงขณะดัน รถไปข้างหน้า
* การหยิบของในที่สูง หลีกเลี่ยงการเอื้อมหยิบของสุดปลายมือ ใช้เก้าอี้ช่วยเสริมความสูง และเข้าไปใกล้กับของที่จะหยิบมากที่สุด เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องขณะยก
* การทำงานที่เกี่ยวกับการหมุน หลีกเลี่ยงการทำงานโดยบิดเอื้ยวลำตัวให้ใช้แรงจากกล้ามเนื้อแขน และขาในการทำงาน ย่อเข่าหรือนั่งลงใกล้ๆ สิ่งที่จะหมุนและรักษาแนวหลังให้ตรง
* การขับรถเบาะรถควรรองรับแผ่นหลังทั้งหมด ใช้หมอนเล็กๆ หนุนหลังบริเวณเอว เพื่อรักษาส่วนโค้งของแนวกระดูกสันหลังส่วนเอง เวลานั่ง เข่าควรสูงกว่าระดับข้อสะโพกเพียงเล็กน้อย
* การนอน ที่นอนควรจะแข็งพอสมควรไม่เป็นแอ่ง หลีกเลี่ยงการนอนบนโซฟา หรือเตียงผ้าใบเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ
* การนั่ง ควร เลือกนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิงรองรับแผ่นหลังทั้งหมด และมีความโค้งรองรับแนงของกระดูกสันหลังช่วงเอว หรือหาหมอนเล็กๆ มาหนุนหลัง ขณะทำงานควรเลื่อนเก้าอี้เข้าใกล้โต๊ะทำงานมากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการก้มตัว เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
* การยืน ยืนให้หลักงอยู่แนวตรง ถ้าทำงานในท่ายืนควรหาที่พักเท้า เช่น ม้านั่งเตี้ยๆ กล่องไม้เล็กๆ และเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ

* นอกจากดูแลพฤติกรรมให้ถูกต้องแล้วหลายคนอาจจะเกิดความสงสัยว่า การรับประทานแคลเซียมเสริมเข้าไปจะเป็นการช่วยเพิ่มความแข็งแรง และยืดอายุไม่ให้กระดูกสันหลังเสื่อมเร็วกว่ากำหนด หรือไม่เรื่องนี้ นพ.ทายาท ไขข้อสงสัยว่า

“การ กินแคลเซียมเพิ่มเข้าไปจะมีส่วนในแง่ของการเลี้ยงกระดูกไม่ให้กระดูกบางลง เหมือนกับการรักษาปูนที่กร่อนไปของบ้าน พอปูนกร่อนไปทุกวันๆ แคลเซียมก็เหมือนปูนที่เราเอาไปโปะ ไปพอก แต่ถามว่าจะทำให้บ้านแข็งแรงมากขึ้นหรือเปล่าก็ไม่ใช่ เป็นแค่เข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้กระดูกสันหลังแข็งแรง เพราะถึงอย่างไรผมก็จะบอกว่าการออกกำลังกายนี่แหละดีที่สุด”

ออกกำลังกาย ยืดอายุกระดูกสันหลัง
อย่าง ที่ นพ.ทายาท บอก เอาไว้ว่า สิ่งสำคัญที่จะทำให้กระดูกยังคงความแข็งเอาไว้ได้นานที่สุดนั่นก็คือการออก กำลังกายซึ่งการออกกำลังกายที่ถูกวิธีเพื่อป้องกันอาการปวดหลังนั้นมีข้อควร ปฏิบัติดังนี้
1. เคลื่อนไหวในแต่ละท่าอย่างช้าๆ ห้ามกระชาก หายใจเข้าออกตามปกติ ระวังอย่ากลั้นหายใจ
2. อย่าฝืนหรือหักโหมเกินไป
3. ไม่ควรให้มีอาการปวดหรือเจ็บใดๆ ในขณะที่ออกกำลังกาย
4. เพื่อให้ได้ผลที่ดีควรออกกำลังกายให้เป็นประจำ และสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
ท่ายืดกล้ามเนื้อหลัง
1. นั่งบนเก้าอี้ เท้าวางราบกับพื้น ผ่อนคลายคอ หลัง พร้อมก้มตัวลงช้าๆ ให้มือแตะพื้นค้างในท่านี้ 5-10 วินาที ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ สู่ท่าเริ่มต้น
2. นั่ง ให้ฝ่าเท้าชนกัน ผ่อนคลายคอและหลัง พร้อมกับก้มตัวเหยียดมือไปข้างหน้าช้าๆ ค้างไว้ 5-10 วินาที ถ้าตึงบริเวณต้นขาด้านในมากไปให้เหยียดขาออกไปด้านหน้าได้อีก
3. นั่ง เหยียดขาไปกับพื้น ยกเท้าขวาไขว้ไปวางด้านนอก ค่อยๆ หมุนตัวไปด้านขวา มือขวาเท้าไปด้านหลัง ให้รู้สึกว่ากล้ามเนื้อลำตัวด้านซ้ายตึง ค้างไว้ 5-10 วินาที
4. นอน หงาย ค่อยๆ ดึงเข่าทั้ง 2 ข้างมาชิดอกช้าๆ ค้างไว้ 10 วินาที จะรู้สึกตึงบริเวณส่วนล่าง หากมีอาการปวดเข่าให้สอดมือทั้ง 2 ข้างตรงบริเวณข้อพับเข่า


ที่มา jojo7000.com

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

อายุการเก็บรักษาหนังสือ





โดยปกติอายุการเก็บหนังสือ ให้เก็บไว้ไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี เว้นแต่หนังสือดังต่อไปนี้

1. หนังสือที่ต้องสงวนเป็นความลับปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ หรือระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ

2. หนังสือที่เป็นหลักฐานทางอรรถคดี สำนวนของศาลหรือของพนักงานสอบสวนเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนว่าด้วยการ นั้น

3. หนังสือที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทุกสาขาวิชา และมีคุณค่าต่อการศึกษาหรือตามที่สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร กำหนด

4. หนังสือที่ได้ปฏิบัติงานเสร็จสิ้นแล้ว และเป็นคู่สำเนาที่มีต้นเรื่องจะค้นได้จากที่อื่นให้เก็บไว้ไม่น้อยกว่า ๕ ปี

5. หนังสือที่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญซึ่งไม่มีความสำคัญ และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จให้เก็บไว้ไม่ น้อยกว่า ๑ ปี

6. หนังสือหรือเอกสารเกี่ยวกับการรับเงิน การจ่ายเงิน หรือการก่อหนี้ผูกพันทางการเงินที่ไม่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิในทางการเงิน ฯลฯ เมื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบแล้วไม่มีปัญหา และไม่มีความจำเป็นต้องใช้ประกอบการตรวจสอบหรือเพื่อการใด ๆ อีก ให้เก็บไว้ไม่น้อยกว่า ๕ ปี

หนังสือเกี่ยวกับการเงิน ซึ่งเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องเก็บไว้ถึง ๑๐ ปี หรือ ๕ ปี แล้วแต่กรณีให้ทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง

ทุกปีปฏิทินให้ส่วนราชการจัดส่งหนังสือที่มีอายุครบ ๒๐ ปี นับจากวันที่ได้จัดทำขึ้น

ที่ เก็บไว้ ณ ส่วนราชการใด พร้อมทั้งบัญชีส่งมอบหนังสือครบ ๒๐ ปี ให้สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติกรมศิลปากร ภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ของปีถัดไป ยกเว้นหนังสือในข้อ 1-3 และหนังสือที่ส่วนราชการมีความจำเป็นต้องเก็บไว้ที่ส่วนราชการนั้นให้จัดทำ บัญชีหนังสือครบ ๒๐ ปีที่ขอเก็บเอง ส่งมอบให้สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร

ที่มา jojo7000.com